Loading...

About

The History of the Chavanich Property and How Warehouse 30 was Created

History of Warehouse30 and the neighborhood

3 title deeds

โฉนดทั้ง3

โฉนดทั้ง3

โครงการ Warehouse 30 ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 5,600 ตารางเมตร ระหว่างซอยเจริญกรุง 30 และ 32 เกิดจากการรวมพื้นที่จากโฉนดที่ดิน 3 แปลง ซึ่งแต่ละแปลงล้วนมีเรื่องราวความเป็นมาที่แตกต่างกันไป เมื่อเราได้ศึกษาประวัติของพื้นที่แห่งนี้ ก็ได้ค้นพบเรื่องราวอันน่าทึ่งที่สะท้อนภาพประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน

The Portuguese Embassy

สถานทูตโปรตุเกส


ภาพด้านบน (ค.ศ. 2025): ภาพสถานทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ



ภาพด้านบน (ค.ศ. 2025): ทางเข้าสถานทูตโปรตุเกส พร้อมภาพกราฟฟิตีโดย Vhils บนซอยเจริญกรุง 30

 

เริ่มต้นจากหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่เราพบในย่านนี้ คือ สถานทูตโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินแปลงติดกันกับเรา คุณอาจสังเกตเห็นกำแพงด้านหน้าที่มีภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่โดยศิลปินกราฟฟิตีชาวโปรตุเกส Vhils ด้านหลังกำแพงนั้นคือที่ดินทอดยาวไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา

บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของพื้นที่นี้ ย้อนกลับไปราวปี 1783–1785 เมื่อรัชกาลที่ 1 พระราชทานที่พักพิงให้เจ้าชายเหงียน ฟุก อั๊ญ (หรือที่รู้จักในชื่อ องเชียงสือ ในเอกสารไทย) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าชายเหงียนอัญทรงหนีภัยจากทัพของพวกเตยเซิน (Tây Sơn) และได้เสด็จลี้ภัยมายังสยาม พระองค์ได้รับการต้อนรับจากราชสำนักสยามและขอรับความช่วยเหลือทางทหารเพื่อกอบกู้บัลลังก์ จนสามารถได้สถาปนาราชวงศ์เหงียนและขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์แรกของเวียดนามที่รวมประเทศเป็นปึกแผ่นในชื่อ จักรพรรดิซา ล็อง(Gia Long) ในปี ค.ศ. 1804 

ภาพด้านบน: ภาพวาดพระเจ้าเหงียนอัญ (King Nguyễn Ánh)

 


ภาพด้านบน: Carlos de Manuel Silveira เป็นกงสุลโปรตุเกสคนแรกประจำประเทศไทย

หลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้า ขณะเดียวกันสยามก็ต้องการอาวุธและกระสุนเพื่อป้องกันประเทศ รัชกาลที่ 2 จึงพระราชทานที่ดินผืนนี้ให้โปรตุเกสใช้เป็นท่าเรือการค้าและสถานกงสุล ทำให้เพื่อนบ้านของเราเป็นสถานกงสุลตะวันตกแห่งแรกในยุครัตนโกสินทร์

กงสุลคนแรกของโปรตุเกสคือ Carlos de Manuel Silveira รัชกาลที่ 2 ยังพระราชทานบรรดาศักดิ์เทียบเท่าขุนนางไทยให้แก่เขา เขาปฏิบัติหน้าที่ทางการทูตอย่างราบรื่น ต้อนรับชาวต่างชาติทุกคน รวมถึงมิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนต์ ขณะที่หลายฝ่ายในสยามยังมองด้วยความระแวงและไม่เป็นมิตร

อาคารสถานทูตโปรตุเกสที่ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในปัจจุบัน สร้างขึ้นช่วงกลางทศวรรษ 1860 โดยผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยเข้ากับสไตล์โคโลเนียลของโปรตุเกสได้อย่างงดงามลงตัว

 


ภาพด้านบน (ค.ศ. 1918): มุมมองสถานทูตโปรตุเกส กรุงเทพฯ จากฝั่งธนบุรี ในสมัยนั้น ประตูทางเข้าหลักของอาคารหันออกสู่แม่น้ำ เนื่องจากการเดินทางทางน้ำเป็นวิธีหลัก แต่เมื่อการขนส่งทางถนนเข้ามา อาคารด้านที่หันสู่แม่น้ำจึงกลายเป็นด้านหลังของอาคาร

The American Baptist Foreign Mission Society (ABFMS)

คณะอเมริกันแบ๊บติสท์ บอร์ด

ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีบันทึกว่าในปี ค.ศ. 1828 Jacob Tomlin และ Karl Gutzlaff เป็นมิชชันนารีโปรเตสแตนต์กลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยได้รับการต้อนรับจาก Carlos de Manuel Silveira ซึ่งอนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่พักของเขาเอง ทั้งนี้ Gutzlaff ยังเป็นหนึ่งในมิชชันนารีกลุ่มแรกที่ไปยังจีนและเกาหลีด้วย

สมาคมมิชชันนารีอเมริกันแบ๊บติสต์ (American Baptist Foreign Mission Society) ได้ส่งมิชชันนารีหลายคนมายังสยาม เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะถูกส่งไปยังจีน แต่จีนไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ ขณะที่สยามเปิดรับพวกเขา ในปี ค.ศ. 1831 Reverend David Abeel เดินทางมาสำรวจพื้นที่และเริ่มงานมิชชันนารีในฐานะตัวแทนของคณะกรรมการ

ต่อมาในปี ค.ศ. 1833 Reverend John Taylor Jones พร้อมภรรยา Eliza Grew Jones เป็นผู้บุกเบิกงานมิชชันนารีอเมริกันอย่างแท้จริง โดย Carlos de Manuel Silveira ช่วยให้พวกเขาเช่าที่พักอยู่หลังสถานกงสุลโปรตุเกส  เมื่อมีมิชชันนารีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ คณะมิชชันนารีจึงสร้างโบสถ์ บ้านพัก เครื่องพิมพ์ โรงหล่อพิมพ์ ห้องเข้าเล่มหนังสือ และห้องสมุดขึ้น และต่อมาสมาคมมิชชันนารีอเมริกันแบ๊บติสต์ ได้รับการบันทึกบนโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินบนแปลงของโครงการWarehouse 30 ในช่วงปี 1900s


ภาพด้านบน: Reverend John Taylor Jones

 


ภาพด้านบน: Eliza Grew Jones

 

นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ. 1835–1838 ดร. แดน บีช แบรดลีย์ ได้นำเครื่องพิมพ์ภาษาไทยเครื่องแรกมาสู่มิชชั่นแบ๊บติสต์บน Captain Bush Lane โรงพิมพ์แห่งนี้เริ่มพิมพ์เอกสารทางศาสนา แผ่นปลิว และหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย สำหรับนิกายโปรเตสแตนต์ทุกนิกาย ทั้งแบ๊บติสต์ คองเกรเกชันนอล และเพรสไบทีเรียน เพราะตระหนักดีว่าการตีพิมพ์ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา ดังนั้นพื้นที่Warehouse 30 จึงกลายเป็น จึงถือเป็นสถานที่แรกในสยามที่มีการใช้เครื่องพิมพ์ภาษาไทยที่สามารถพิมพ์อักษรไทยได้จริง


ภาพด้านบน: Dr. Dan Beach Bradley

 


ภาพด้านบน: ภาพร่างที่พักอาศัยเรียบง่ายของมิชชันนารี (ช่วงปี 1830–1850)

 

Captain Bush

กัปตันจอห์น บุช


ภาพด้านบน: กัปตันบุช (Captain Bush)

ภาพด้านบน: ป้ายซอยเจริญกรุง 30 หรือที่รู้จักในชื่อตรอกกัปตันบุช

ซอยกัปตันบุช (Captain Bush Lane) ตั้งชื่อตาม John Bush ชาวอังกฤษ ผู้เป็นกัปตันเรือและได้รับแต่งตั้งเป็นนายท่ากรุงเทพฯ ในปี ค.ศ. 1858 และดำรงตำแหน่งนี้ต่อเนื่องกว่า 30 ปี เขาเริ่มทำหน้าที่นายท่าในปี ค.ศ. 1853 สมัยรัชกาลที่ 4 ด้วยความรู้ ความสามารถ และความชาญฉลาดในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ทำให้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์

ในรัชกาลที่ 5 เขาได้รับหน้าที่เป็นผู้บังคับการราชสำนักเรือพระราชพิธี และได้คุมเรือพระราชพิธีไปสิงคโปร์และอินเดียในปี ค.ศ. 1870–1871 จึงได้รับการเรียกชื่อว่า “กัปตัน” นอกจากนี้ เขายังสร้างธุรกิจส่วนตัว โดยตั้งอู่เรือแห่งแรกของพระนครชื่อ Bangkok Dock และร่ำรวยจากกิจการนี้

เขาสร้างบ้านหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้สำนักงานกรมเจ้าท่า แต่ปัจจุบันบ้านของกัปตันบุชไม่มีหลงเหลือ มีเพียงอนุสรณ์สถานเท่านั้น ชาวบ้านเรียกซอยที่ตั้งบ้านเขาว่า “ตรอกกัปตันบุช” มาตั้งแต่สมัยสร้างบ้าน แต่ปัจจุบันซอยนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการในชื่อ ซอยเจริญกรุง 30


ภาพบน (ค.ศ. 1918): ด้านซ้ายสุดเป็นมุมมองบางส่วนของบ้านกัปตันบุช
ภาพล่าง: ปัจจุบันพื้นที่นั้นเป็นที่ตั้งของโรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน

Celestino Xavier family

ตระกูล Maria Xavier


ภาพด้านบน: เซเลสติโน มาเรีย ซาเวียร์ (Celestino Maria Xavier)

 


ภาพด้านบน: โบสถ์ Holy Rosary หรือที่รู้จักกันในชื่อวัดแม่พระลูกประคำ กาลหว่าร์ เป็นโบสถ์คาทอลิกโรมันในกรุงเทพฯ ที่มีจุดเริ่มต้นจากชุมชนโปรตุเกสตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18

 

ต้นตระกูล Maria Xavier เป็นชาวโปรตุเกส ชื่อ Joaquim Maria Xavier ผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณชุมชนโบสถ์กาลหว่าร์ในช่วงปีค.ศ.1840 และเข้ารับใช้ในราชสำนักช่วงรัชกาลที่3, 4 และ 5 ต่อมาลูกชายของเขา Luis Maria Xavier มาตั้งรกรากอยู่ในตลาดน้อยหลังโบสถ์กาลหว่าร์ เขาเป็นล่ามให้กรมเจ้าท่าและดำรงตำแหน่ง รองกงสุลโปรตุเกส  อีกทั้งมีกิจการโรงสีข้าวเป็นของตัวเอง ตระกูลMaria Xavier ที่มั่งคั่ง ได้บริจาคเงินเพื่อสร้างโบสถ์กาลหว่าร์ จนมีชื่อของครอบครัวท่านปรากฏอยู่ภายใต้บานกระจกสีภายในโบสถ์จนถึงปัจจุบัน

.

ต่อมาบุตรของ Luis Maria Xavier คือ เซเลสติโน มาเรีย เซเวียร์ (Celestino Maria Xavier) หรือ พระยาพิพัฒน์โกษา  เข้ารับราชการปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ต่อมาดำรงตำแหน่งอัครราชทูตไทยประจำประเทศอิตาลี  และมีกิจการส่วนตัว คือโรงสีข้าวและทำธุรกิจที่ดิน โดยท่านเป็นผู้มีส่วนร่วมในการตัดถนนสี่พระยา และเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนก่อสร้างและดำเนินกิจการรถไฟที่เริ่มจากสถานีปากคลองสาน ฝั่งธนบุรี ถึงสถานีมหาชัย เมืองสมุทรสาคร ระยะทาง 33.1 กิโลเมตรนอกจากนี้พระยาพิพัฒน์โกษา ยังเป็นบิดาของมาร์กาเร็ต ลิน เซเวียร์ (Magaret Lin Xavier) แพทย์หญิงคนแรกของไทยอีกด้วย

 


ภาพบน (ค.ศ. 1957): บริเวณสี่แยกถนนเจริญกรุงกับถนนสีพระยา
ภาพล่าง (ค.ศ. 2025): บริเวณสี่แยกถนนเจริญกรุงกับถนนสีพระยา

Nai Lert Sreshthaputra

นายเลิศ เศรษฐบุตร

 


ภาพด้านบน: “เศรษฐีผู้เป็นที่รัก” นายเลิศ เศรษฐบุตร

ภาพด้านบน (ค.ศ. 1908): ที่ตั้งเดิมของสถานทูตอังกฤษ ริมแม่น้ำ

นายเลิศผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาภักดีนรเศรษฐ ซึ่งแปลว่า “เศรษฐีผู้มีคนรัก” เป็นที่จดจำในฐานะนักธุรกิจผู้มีความคิดก้าวลำ้นำสมัยไม่เหมือนใคร และมีความเฉียบคมทางธุรกิจอย่างหาตัวจับได้ยาก เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกธุรกิจใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนในสังคมไทย เขาก่อตั้งห้างสรรพสินค้าเพื่อนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ ขายอุปกรณ์แผ่นเสียง นำเข้ารถยนต์ สร้างสถานีเติมนำ้มัน และสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สัญจรด้วยการให้บริการรถยนต์ รถประจำทาง แท็กซี่ และเรือที่หลากหลาย และเป็นที่จดจำในฐานะผู้นำเข้าอุปกรณ์ทำน้ำแข็งมาที่กรุงเทพฯ

.

นอกจากนี้นายเลิศยังเป็นนักจัดสรรที่ดิน และสร้างอาณาจักรอสังหา ริมทรัพย์อันกว้างใหญ่ ข้อตกลงที่มีชื่อเสียงของเขาคือการแลกเปลี่ยนที่ดินที่เพลินจิตกับกงสุลอังกฤษซึ่งในตอนนนั้นต้องการย้ายสถานกงสุลใหม่ โดยมีเงื่อนไขว่านายเลิศจะรับซื้อพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างของสถานกงสุลอังกฤษเดิมทั้งหมดด้วย สถานทูตอังกฤษจึงจะย้ายไปอยู่ที่เพลินจิต ส่วนที่ทำการเดิมของสถานกงสุลนั้นนายเลิศได้นำไปเสนอขายให้กับรัฐบาลไทย ถูกปรับเปลี่ยนการใช้งานเป็นอาคารไปรษณีย์ ก่อนจะถูกทุบทิ้งในสมัยรัชกาลที่ 8 เพื่อสร้างเป็นอาคารไปรษณีย์กลางบางรัก ที่คงอยู่จนถึงปัจจุบัน

.

ดูเหมือนว่านายเลิศจะกว้านซื้อที่ดินในบริเวณใกล้เคียงกับที่ทำการไปรษณีย์ รวมถึงที่ดินทั้งหมดในโครงการWarehouse30 ทั้ง3 โฉนด จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้มาครอบครองพื้นทีรวมถึงโกดังแห่งนี้เพื่อ ใช้เก็บของ เมื่อสงครามสิ้นสุดลงเขามีอายุ 71 ปี สุขภาพเริ่มถดถอย เมื่อนายเลิศถึงแก่กรรมไม่นานบุตรสาวของนายเลิศ ได้รับมรดกสืบทอดที่ดินผืนนี้มาและขายที่ดินต่อให้นายชวน และนางมานี ชวนิชย์

 


ภาพด้านบน: ภาพมุมสูงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเห็นอาคารไปรษณีย์กลางอยู่ตรงกลาง และอาคารชวนิชย์พร้อมโกดังถูกทำเครื่องหมายสีแดง

Mr. Chuan and Mrs. Manee Chavanich

 นายชวน และ นางมานี ชวนิชย์

คุณชวน ชวนิชย์ ก่อตั้งบริษัท ชวนิชย์ จำกัด ในปี ค.ศ. 1944 (พ.ศ. 2487) ในขณะนั้นตึกแถวที่เขาเช่าอยู่ในย่านตลาดน้อย ใกล้เซียงกง มีขนาดเล็กเกินไป ไม่เพียงพอต่อความต้องการของธุรกิจการค้าหลังสงคราม เขาจึงต้องการพื้นที่มากขึ้นเพื่อเก็บวัตถุดิบจำนวนมากก่อนส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา

เมื่อได้ยินว่าคุณเลิศ เจ้าของที่ดินซึ่งเคยถูกกองทัพญี่ปุ่นใช้งาน ไม่ประสงค์จะครอบครองต่อ คุณชวนจึงแสดงความสนใจ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาและภรรยา คุณมานี ชวนิชย์ จึงตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้พร้อมโกดังทั้งหมด

ภาพด้านบน: คุณชวน และคุณมานี ชวนิชย์

ภาพด้านบน: บริษัท ชวนิชย์ จำกัด ส่งออกวัตถุดิบไปยังสหรัฐอเมริกาหลังสงคราม

ภาพด้านบน (ค.ศ. 1952): วันเปิดทำการอาคารชวนิชย์ พร้อมเจ้าหน้าที่และครอบครัว

ภายในปี ค.ศ. 1946 คุณชวนได้สร้างอาคารชวนิชย์บนที่ดินผืนปัจจุบัน โดยได้จ้าง “นายเม้ง” มาสร้างอาคารชวานิชสองชั้นในสไตล์อาร์ตเดโก (Art Deco) อาร์ตเดโกได้รับความนิยมในตะวันตกตั้งแต่ราวปี 1910 และมีอิทธิพลเข้ามาถึงประเทศไทยช่วงปลายสงครามลักษณะเด่นคือรูปทรงเรขาคณิตที่แข็งแรง เรียบง่าย และซ้ำกันเป็นจังหวะ ทำให้เน้นความสมมาตรของการจัดวาง อาคารด้านข้างที่อยู่ขนาบทางเข้ากลางมีรูปแบบเหมือนกันทั้งสองฝั่ง สร้างความรู้สึกมั่นคง มีเกียรติ และเป็นทางการ

อาคารชวนิชย์ตั้งอยู่ที่ 48 ตรอกกัปตันบุช ซอยเจริญกรุง 30 ปัจจุบันยังคงใช้งานเป็นสำนักงาน และตั้งอยู่ภายในพื้นที่โครงการ Warehouse 30

ภาพด้านบน (ค.ศ. 2025): ด้านหน้าของอาคารชวนิชย์

จุดเด่นของอาร์ตเดโกในอาคารชวนิชย์ ได้แก่

  • การใช้ “คิ้ว” หรือชั้นวางเหนือหน้าต่าง เพื่อบังแดดและกันฝน (สำคัญในยุคก่อนมีเครื่องปรับอากาศ)

  • รายละเอียดสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย: พื้นผิวด้านนอกของอาคารปูนตกแต่งด้วยเส้นร่องคล้ายหินจริง

  • การใช้สีอย่างประหยัด: อาคารทาด้วยสีขาวครีมอ่อน ตัดกับขอบตกแต่งสีฟ้า-เทาอ่อนพาสเทล ไม่มีการใช้สีฉูดฉาด

  • ปี 1950 การเพิ่มความเป็นท้องถิ่นในงานอาร์ตเดโก: มีการใช้โลหะตกแต่งเหนือทางเข้าหน้าต่าง และช่องระบายอากาศ แนวปฏิบัตินี้เข้ามาในไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการเพิ่มงานเหล็กดัดในบ้านหลายหลังด้วย

ภาพด้านบน: แปลนด้านหน้าของอาคารชวนิชย์

ภาพด้านบน: “คิ้ว” หรือชั้นวางเหนือหน้าต่าง

ภาพด้านบน: องค์ประกอบเหล็กดัดประดับโลโก้ CCL (โลโก้บริษัท ชวนิชย์ จำกัด)

The Warehouses

โกดังทั้ง8หลัง

ภาพบน (ค.ศ. 2015): ภาพภายในโกดังเปล่า

จากแผนที่เก่า พบว่าการก่อสร้างโกดังชุดนี้เริ่มปรากฏขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1925–1941 โดยสันนิษฐานว่า จุดประสงค์ดั้งเดิมคือใช้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้าวจากโรงสี ก่อนจะส่งออกไปต่างประเทศ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้ใช้โกดังเหล่านี้เป็นสถานที่เก็บของทั่วไป และน่าสังเกตว่าโกดังไม่เคยถูกโจมตีโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเลย

เมื่อที่ดินและโกดังตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลชวนิชย์ พื้นที่แห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นโกดังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ส่วนพื้นที่ที่เหลือใช้ไม่หมดก็ให้เช่ากับผู้ประกอบการรายย่อยหลายประเภท เพื่อใช้เป็นพื้นที่จัดเก็บสินค้าต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ จนกระทั่งอาคารเริ่มทรุดโทรมและค่าเช่าลดลงอย่างมาก

ตลอดหลายยุคที่ผ่านมา การใช้งานโกดังมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากการเก็บแร่ธาตุและวัตถุดิบ เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่เก็บรถแทรกเตอร์และอุปกรณ์การเกษตร ก่อนจะกลายเป็นที่เก็บชิ้นส่วนหัวรถจักรและเฟอร์นิเจอร์จากสถานีรถไฟ แต่ถึงอย่างนั้น โครงสร้างไม้ พื้นไม้เดิม ตลอดจนคานเหล็กเปลือยก็ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ ทำให้โกดังยังคงมีกลิ่นอายของอดีตอย่างชัดเจน

ในช่วงทศวรรษ 1970 สินค้าและอุปกรณ์ทั้งหมดภายในโกดังถูกเคลื่อนย้ายออก และมีธุรกิจใหม่ ๆ เช่น “มิชลิน” และ “ไทรอัมพ์” เข้ามาเช่าพื้นที่ต่อ ด้วยค่าเช่าที่ไม่สูงนักทำให้ไม่เคยขาดผู้เช่าเลย

ต่อมา เมื่อคุณปรีดา ชวนิชย์ ข้ามาเป็นเจ้าของที่ดิน เขาเคยมีแนวคิดจะรื้อโกดังทั้งหมด เพื่อสร้างศูนย์การค้าสามชั้นสมัยใหม่ขึ้นแทน แต่สิ่งที่ทำให้โครงการนี้ไม่เกิดขึ้น คือค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างที่สูงมาก และโอกาสในการคืนทุนที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะหลังสงคราม ธุรกิจของกรุงเทพฯ ได้ย้ายศูนย์กลางออกจากพื้นที่ริมน้ำไปแล้ว ทำให้ที่ดินในย่านนี้ไม่สามารถเก็บค่าเช่าในระดับเดียวกับย่านธุรกิจใหม่ได้อีกต่อไป

 

 

 


ภาพบน (ค.ศ. 2015): มุมมองจากซอยเจริญกรุง 30
ภาพล่าง (ค.ศ. 2015): มุมมองจากซอยเจริญกรุง 32 ก่อนการขยายพื้นที่ลานจอดรถ

The Creation of Warehouse30

จุดกำเนิดโครงการ Warehouse30

ในช่วงเวลานั้น ชุมชนบางรักเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของอาคารเก่าในย่านของตนเอง และให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรม หนึ่งในผู้บุกเบิกแนวคิดการรักษาและปรับใช้พื้นที่อาคารเก่าให้เกิดประโยชน์ใหม่ คือสถาปนิกชื่อดัง “ดวงฤทธิ์ บุนนาค” ผู้ซึ่งเคยสร้างผลงานอันโดดเด่นที่ The Jam Factory ริมฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ และด้วยวิสัยทัศน์ของเขาเองที่เห็นศักยภาพของโกดังเก่าเหล่านี้ — โปรเจกต์ Warehouse 30 จึงถือกำเนิดขึ้น!

ภาพด้านบน (ค.ศ. 2025): มุมมองของโครงการ Warehouse 30 จากซอยเจริญกรุง 30

ภายในของ Warehouse 30 หลังการบูรณะเต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร และแกลเลอรี — แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพในอดีตที่เคยเป็นพื้นที่เก็บเครื่องจักรและชิ้นส่วนหัวรถจักร ดวงฤทธิ์ บุนนาค ได้บูรณะส่วนภายนอกของอาคารอย่างพิถีพิถัน เพื่อคงเสน่ห์ดั้งเดิมเอาไว้ไม่ให้สูญหาย ขณะเดียวกัน เขายังคงรักษาโครงสร้างภายในส่วนใหญ่ให้คงสภาพเดิม ยกเว้นบางพื้นที่ที่จำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้เช่า

สิ่งเดียวที่ไม่อาจต่อรองได้คือ “พื้นไม้เดิม” ซึ่งต้องคงไว้ เพื่อรักษาบรรยากาศดิบเท่แบบโกดังเก่าให้ยังคงอยู่ ก่อนที่ Warehouse 30 จะเปิดตัวในปี 2016 โกดังเหล่านี้ก็ได้ปรับตัวให้เข้ากับกาลเวลาอย่างดีเยี่ยมแล้ว แสดงให้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่เคยถูกทอดทิ้งให้รกร้างเลยตลอดมา


ภาพด้านบน (ค.ศ. 2025): มุมมองของโครงการ Warehouse 30 จากซอยเจริญกรุง 32 หลังการขยายพื้นที่ลานจอดรถ


ภาพบน (ค.ศ. 2016): โกดังเดิมมีพื้นที่จอดรถค่อนข้างจำกัด
ภาพล่าง (ค.ศ. 2025): พื้นที่จอดรถที่ขยายใหม่กว้างขวางและสะดวกสบาย


ภาพบน (ค.ศ. 2016): โกดังแต่ละหลังยังแยกออกจากกัน ไม่มีทางเชื่อมต่อ
ภาพล่าง (ค.ศ. 2025): มีการสร้างทางเดินเชื่อมมีหลังคาสำหรับคนเดิน และติดตั้งระบบป้ายบอกทางใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาเยือน


ภาพด้านบน: ทางเดินนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อโกดังทั้ง 8 หลังเข้าด้วยกัน