นายเลิศผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาภักดีนรเศรษฐ ซึ่งแปลว่า “เศรษฐีผู้มีคนรัก” เป็นที่จดจำในฐานะนักธุรกิจผู้มีความคิดก้าวลำ้นำสมัยไม่เหมือนใคร และมีความเฉียบคมทางธุรกิจอย่างหาตัวจับได้ยาก เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกธุรกิจใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนในสังคมไทย เขาก่อตั้งห้างสรรพสินค้าเพื่อนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ ขายอุปกรณ์แผ่นเสียง นำเข้ารถยนต์ สร้างสถานีเติมนำ้มัน และสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สัญจรด้วยการให้บริการรถยนต์ รถประจำทาง แท็กซี่ และเรือที่หลากหลาย และเป็นที่จดจำในฐานะผู้นำเข้าอุปกรณ์ทำน้ำแข็งมาที่กรุงเทพฯ

.

นอกจากนี้นายเลิศยังเป็นนักจัดสรรที่ดิน และสร้างอาณาจักรอสังหา ริมทรัพย์อันกว้างใหญ่ ข้อตกลงที่มีชื่อเสียงของเขาคือการแลกเปลี่ยนที่ดินที่เพลินจิตกับกงสุลอังกฤษซึ่งในตอนนนั้นต้องการย้ายสถานกงสุลใหม่ โดยมีเงื่อนไขว่านายเลิศจะรับซื้อพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างของสถานกงสุลอังกฤษเดิมทั้งหมดด้วย สถานทูตอังกฤษจึงจะย้ายไปอยู่ที่เพลินจิต ส่วนที่ทำการเดิมของสถานกงสุลนั้นนายเลิศได้นำไปเสนอขายให้กับรัฐบาลไทย ถูกปรับเปลี่ยนการใช้งานเป็นอาคารไปรษณีย์ ก่อนจะถูกทุบทิ้งในสมัยรัชกาลที่ 8 เพื่อสร้างเป็นอาคารไปรษณีย์กลางบางรัก ที่คงอยู่จนถึงปัจจุบัน

.

ดูเหมือนว่านายเลิศจะกว้านซื้อที่ดินในบริเวณใกล้เคียงกับที่ทำการไปรษณีย์ รวมถึงที่ดินทั้งหมดในโครงการWarehouse30 ทั้ง3 โฉนด จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้มาครอบครองพื้นทีรวมถึงโกดังแห่งนี้เพื่อ ใช้เก็บของ เมื่อสงครามสิ้นสุดลงเขามีอายุ 71 ปี สุขภาพเริ่มถดถอย เมื่อนายเลิศถึงแก่กรรมไม่นานบุตรสาวของนายเลิศ ได้รับมรดกสืบทอดที่ดินผืนนี้มาและขายที่ดินต่อให้นายชวน และนางมานี ชวนิชย์