
ภาพด้านบน (ค.ศ. 2025): ภาพสถานทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ

ภาพด้านบน (ค.ศ. 2025): ทางเข้าสถานทูตโปรตุเกส พร้อมภาพกราฟฟิตีโดย Vhils บนซอยเจริญกรุง 30
เริ่มต้นจากหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่เราพบในย่านนี้ คือ สถานทูตโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินแปลงติดกันกับเรา คุณอาจสังเกตเห็นกำแพงด้านหน้าที่มีภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่โดยศิลปินกราฟฟิตีชาวโปรตุเกส Vhils ด้านหลังกำแพงนั้นคือที่ดินทอดยาวไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา
บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของพื้นที่นี้ ย้อนกลับไปราวปี 1783–1785 เมื่อรัชกาลที่ 1 พระราชทานที่พักพิงให้เจ้าชายเหงียน ฟุก อั๊ญ (หรือที่รู้จักในชื่อ องเชียงสือ ในเอกสารไทย) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าชายเหงียนอัญทรงหนีภัยจากทัพของพวกเตยเซิน (Tây Sơn) และได้เสด็จลี้ภัยมายังสยาม พระองค์ได้รับการต้อนรับจากราชสำนักสยามและขอรับความช่วยเหลือทางทหารเพื่อกอบกู้บัลลังก์ จนสามารถได้สถาปนาราชวงศ์เหงียนและขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์แรกของเวียดนามที่รวมประเทศเป็นปึกแผ่นในชื่อ จักรพรรดิซา ล็อง(Gia Long) ในปี ค.ศ. 1804

ภาพด้านบน: ภาพวาดพระเจ้าเหงียนอัญ (King Nguyễn Ánh)

ภาพด้านบน: Carlos de Manuel Silveira เป็นกงสุลโปรตุเกสคนแรกประจำประเทศไทย
หลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้า ขณะเดียวกันสยามก็ต้องการอาวุธและกระสุนเพื่อป้องกันประเทศ รัชกาลที่ 2 จึงพระราชทานที่ดินผืนนี้ให้โปรตุเกสใช้เป็นท่าเรือการค้าและสถานกงสุล ทำให้เพื่อนบ้านของเราเป็นสถานกงสุลตะวันตกแห่งแรกในยุครัตนโกสินทร์
กงสุลคนแรกของโปรตุเกสคือ Carlos de Manuel Silveira รัชกาลที่ 2 ยังพระราชทานบรรดาศักดิ์เทียบเท่าขุนนางไทยให้แก่เขา เขาปฏิบัติหน้าที่ทางการทูตอย่างราบรื่น ต้อนรับชาวต่างชาติทุกคน รวมถึงมิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนต์ ขณะที่หลายฝ่ายในสยามยังมองด้วยความระแวงและไม่เป็นมิตร
อาคารสถานทูตโปรตุเกสที่ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในปัจจุบัน สร้างขึ้นช่วงกลางทศวรรษ 1860 โดยผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยเข้ากับสไตล์โคโลเนียลของโปรตุเกสได้อย่างงดงามลงตัว

ภาพด้านบน (ค.ศ. 1918): มุมมองสถานทูตโปรตุเกส กรุงเทพฯ จากฝั่งธนบุรี ในสมัยนั้น ประตูทางเข้าหลักของอาคารหันออกสู่แม่น้ำ เนื่องจากการเดินทางทางน้ำเป็นวิธีหลัก แต่เมื่อการขนส่งทางถนนเข้ามา อาคารด้านที่หันสู่แม่น้ำจึงกลายเป็นด้านหลังของอาคาร