ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีบันทึกว่าในปี ค.ศ. 1828 Jacob Tomlin และ Karl Gutzlaff เป็นมิชชันนารีโปรเตสแตนต์กลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยได้รับการต้อนรับจาก Carlos de Manuel Silveira ซึ่งอนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่พักของเขาเอง ทั้งนี้ Gutzlaff ยังเป็นหนึ่งในมิชชันนารีกลุ่มแรกที่ไปยังจีนและเกาหลีด้วย

สมาคมมิชชันนารีอเมริกันแบ๊บติสต์ (American Baptist Foreign Mission Society) ได้ส่งมิชชันนารีหลายคนมายังสยาม เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะถูกส่งไปยังจีน แต่จีนไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ ขณะที่สยามเปิดรับพวกเขา ในปี ค.ศ. 1831 Reverend David Abeel เดินทางมาสำรวจพื้นที่และเริ่มงานมิชชันนารีในฐานะตัวแทนของคณะกรรมการ

ต่อมาในปี ค.ศ. 1833 Reverend John Taylor Jones พร้อมภรรยา Eliza Grew Jones เป็นผู้บุกเบิกงานมิชชันนารีอเมริกันอย่างแท้จริง โดย Carlos de Manuel Silveira ช่วยให้พวกเขาเช่าที่พักอยู่หลังสถานกงสุลโปรตุเกส  เมื่อมีมิชชันนารีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ คณะมิชชันนารีจึงสร้างโบสถ์ บ้านพัก เครื่องพิมพ์ โรงหล่อพิมพ์ ห้องเข้าเล่มหนังสือ และห้องสมุดขึ้น และต่อมาสมาคมมิชชันนารีอเมริกันแบ๊บติสต์ ได้รับการบันทึกบนโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินบนแปลงของโครงการWarehouse 30 ในช่วงปี 1900s


ภาพด้านบน: Reverend John Taylor Jones

 


ภาพด้านบน: Eliza Grew Jones

 

นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ. 1835–1838 ดร. แดน บีช แบรดลีย์ ได้นำเครื่องพิมพ์ภาษาไทยเครื่องแรกมาสู่มิชชั่นแบ๊บติสต์บน Captain Bush Lane โรงพิมพ์แห่งนี้เริ่มพิมพ์เอกสารทางศาสนา แผ่นปลิว และหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย สำหรับนิกายโปรเตสแตนต์ทุกนิกาย ทั้งแบ๊บติสต์ คองเกรเกชันนอล และเพรสไบทีเรียน เพราะตระหนักดีว่าการตีพิมพ์ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา ดังนั้นพื้นที่Warehouse 30 จึงกลายเป็น จึงถือเป็นสถานที่แรกในสยามที่มีการใช้เครื่องพิมพ์ภาษาไทยที่สามารถพิมพ์อักษรไทยได้จริง


ภาพด้านบน: Dr. Dan Beach Bradley

 


ภาพด้านบน: ภาพร่างที่พักอาศัยเรียบง่ายของมิชชันนารี (ช่วงปี 1830–1850)